โรคแพนิค
วันจันทร์ 3 พฤศจิกายน 2008 at 8:00 am 6 ของความคิดเห็น
ใจเต้นแรง หายใจไม่ออก เหงื่อแตก กลัวตาย ฉันเป็นโรคอะไรเนี่ย???
อาการดังกล่าวข้างต้นเป็นได้หลายโรคครับ ทั้งโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคต่อมธัยรอยด์ทำงาน
ผิดปกติ หรือเกิดจากได้รับสารบางชนิดมากเกินไป เช่นดื่มกาแฟ เกิน 2 แก้วต่อวัน ดื่มเครื่องดื่ม
บำรุงกำลังเกินวันละ 2 ขวด หรือสาเหตุอื่นๆอีกมากมาย แต่โรคที่จะอธิบายต่อไปนี้ เป็นโรคที่มี
อาการดังกล่าวข้างต้น และอาจมีมากกว่านั้นอีก เช่น อาการแน่นหน้าอก ใจสั่น กลัว เวียนศีรษะ
จุกแน่นท้อง มือเท้าเย็นชารู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนตัวเองกำลังจะตายหรือจะเป็น
บ้า โดยอาการดังกล่าว เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใน 10 นาที โดยไม่สามารถรู้ตัวได้ว่าจะเกิด
อาการ ไม่มีอะไรมากระตุ้นแล้วจึงเกิดอาการ แต่จู่จู่ก็เป็นขึ้นมาทันที และหลังจากตรวจอย่างละ-
เอียดแล้ว ไม่พบความผิดปกติใดใดในร่างกาย โรคที่ว่านี้ชื่อว่า Panic disorderหรือ โรคแพนิค
ครับ บางคนอาจจะเรียกว่าโรคตื่นตระหนกก็ได้ครับ ยังไม่มีชื่อภาษาไทยที่ชัดเจน หรือที่หลายคน
อาจจะเคยได้ยินว่าหมอบอกว่าเป็นโรคหัวใจอ่อน โรคสารทลงหัวใจ ฯลฯ หมอพบโรคนี้ได้บ่อย
แต่รู้สึกว่าผู้ป่วยและญาติยังขาดความรู้ความเข้าใจโรคนี้อย่างมาก
ทำความเข้าใจกับโรคแพนิค
อีกไม่กี่ปีข้างหน้า โรคแพนิคคงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปและเข้าใจกันอย่างดี ถึงสาเหตุและการรักษา
หลังจากมีเครื่องตรวจการทำงานของสมองที่ละเอียดและทันสมัย แต่ ณ วันนี้น้อยคนนักที่จะรู้จัก
โรคแพนิค และน้อยกว่านั้นที่จะเข้าใจโรคแพนิคอย่างถูกต้อง ยาขนานแรกที่หมอจะให้สำหรับคน
ไข้โรคนี้คือ คุณรู้หรือไม่ว่าคุณเป็นอะไร เกิดจากสาเหตุใด และจะต้องรักษาและปฏิบัติตัวอย่าง
ไร ถ้ายาขนานแรกได้ผล ก็เรียกว่ารักษาหายไปกว่าครึ่งแล้ว
คนเป็นโรคแพนิคมากน้อยแค่ไหน
จากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบถึงร้อยละ 1.5 ถึง 5 นั่นหมายถึงถ้าคุณรู้จักคน 100
คน มีโอกาสที่คนที่คุณรู้จักจะเป็นโรคนี้ได้ถึง 1-5 คนเลยทีเดียว โรคแพนิคพบในผู้หญิงมากกว่า
ผู้ชาย 2-3 เท่า โดยมักเริ่มเป็นครั้งแรกในช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุเฉลี่ยเมื่อเริ่มเป็นอยู่ที่ 25 ปี
อาการแพนิคเกิดจากอะไร
มีการศึกษาวิจัยมากมาย พยายามจะอธิบายอาการของโรคแพนิค ว่าเกิดจากสาเหตุใด ขออธิบาย
เพื่อความเข้าใจง่ายๆนะครับ จริงๆแล้วเวลาคนเราตกใจ ร่างกายก็จะมีการตอบสนองต่อเหตุการณ์
ที่ทำให้ตกใจ ผ่านหลายระบบของร่างกาย ที่สำคัญคือระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ใจเต้นแรง
เหงื่อออก หายใจเร็ว เพื่อเตรียมความพร้อมให้ร่างกายสู้กับสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ได้ เพียงแต่ว่าระบบนี้จะทำงาน เมื่อมีสิ่งมากระตุ้นเท่านั้น ถ้าระบบนี้ทำงานเองโดยไม่มีสิ่งใดใด
มากระตุ้นเลย นั่นคืออาการของโรคแพนิคครับ คือระบบประสาทอัตโนมัติทำงานไวเกินไปนั่นเอง
ระบบประสาทอัตโนมัติเกี่ยวกับโรคแพนิคอย่างไร
ขออธิบายง่ายๆอีกเช่นกันครับ ระบบร่างกายอาจแบ่งได้หลายระบบ แต่เพื่อให้เข้าใจง่ายสำหรับ
อธิบายโรคนี้เท่านั้นนะครับ จะขอแบ่งเป็น 2 ระบบ ได้แก่ระบบที่เราสั่งการได้ เช่น เราอยากจะยก
แขน ยกขา ลืมตา อ้าปากเรานึกอย่างไร ร่างกายจะทำตามที่เรานึกทันที ส่วนอีกระบบหนึ่งคือ
ระบบประสาทอัตโนมัติ เราสั่งให้มันทำงานไม่ได้ แต่มันจะทำงานเมื่อสิ่งแวดล้อมภายนอกเปลี่ยน
แปลงไป ระบบนี้จะทำหน้าที่รักษาสมดุลให้ร่างกาย เช่น เราจะสั่งให้หัวใจเราเต้นเร็วขึ้นได้หรือไม่
คำตอบคือไม่ได้ แต่ถ้าผ่านเหตุการณ์ตื่นเต้นมา ทั้งดีและไม่ดี เช่น กำลังจะให้ดอกไม้แฟนครั้ง
แรกในชีวิตต้องพูดต่อหน้าคนนับพัน โดนตำรวจเรียกขณะฝ่าไฟแดง สุนัขตัวใหญ่วิ่งเข้าหา ระบบ
ประสาทอัตโนมัติจะทำงานทันที สั่งให้หัวใจเต้นแรงเพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆให้มากขึ้น
เตรียมร่างกายให้พร้อมที่สุด จะสู้หรือจะหนี จะได้รอดจากสถานการณ์ไปได้ อีกตัวอย่างเช่น เรา
จะสั่งให้เหงื่อออกเองไม่ได้ แต่เหงื่อจะออกต่อเมื่อเราไปยืนตากแดด อยู่ในที่อากาศร้อน เม็ด
เหงื่อที่ออกมาจะพาเอาความร้อนในร่างกายออกมาด้วยเพื่อไม่ให้อุณหภูมิ ภายในร่างกายร้อน
เกินไปการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติที่ดี เปรียบเหมือนสัญญาณกันขโมยรถยนต์ จะดัง
ต่อเมื่อมีขโมยจะมางัดแงะรถเท่านั้น ระบบประสาทอัตโนมัติไวเกิน สาเหตุของโรคแพนิคเปรียบ
เหมือนสัญญาณกันขโมยรถยนต์ที่ไวเกิน ลมพัดใบไม้หล่นใส่สัญญาณก็ดัง สุนัขปัสสาวะใส่ล้อ
ก็ดัง น่ารำคาญ ทั้งที่ไม่มีขโมยมางัดแงะใดใดเลย ระบบประสาทอัตโนมัติที่ไวเกินก็เช่นกัน ไม่มี
อะไรผิดปกติเกิดขึ้นเลย แต่ระบบก็ส่งสัญญาณไปยังส่วนต่างๆของร่างกายให้ทำงาน เช่น สั่งให้
ใจเต้นเร็ว สั่งให้หายใจแรง สั่งให้เหงื่อออก เป็นต้น สารเคมีในสมอง เกี่ยวอะไรกับระบบประสาท
อัตโนมัติ ? ระบบประสาทอัตโนมัติจะทำงานได้ ต้องส่งผ่านเส้นประสาท จากสมองไปยังอวัยวะ
ต่างๆเช่นหัวใจ ต่อมเหงื่อ โดยอาศัยสารเคมีเล็กๆเป็นตัวส่งสัญญาณ ถ้าสารเคมีดังกล่าวอยู่ใน
ภาวะปกติ สมดุลดี ก็จะทำให้สัญญาณที่ส่งไปถูกต้อง ไม่ผิดพลาด ไม่ไวเกิน ไม่ช้าเกิน ตรงกัน
ข้ามถ้าสารเคมีดังกล่าวเสียสมดุล ก็จะนำไปสู่การสั่งงานที่ผิดพลาด หลายคนคงเคยได้ยินแพทย์
อธิบายว่าเป็นเพราะสารเคมีในสมองไม่สมดุลก็เป็น สาเหตุให้เกิดโรคแพนิคได้นั่นเอง
ทำไมสารเคมีในสมองถึงไม่สมดุล มีหลายสาเหตุ เช่น
- กรรมพันธุ์ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย มีพันธุ์เป็นโรคแพนิค ลูกหลานก็มีแนวโน้มจะเป็นได้มาก
กว่าคนที่ไม่มีกรรมพันธุ์
- ประสบการณ์ในชีวิต มีงานวิจัยยืนยันว่าคนที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตโดยเฉพาะ
ในวัยเด็ก มีโอกาสเป็นโรคแพนิคได้มากกว่าคนที่ไม่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้าย เช่น การ
ถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก การสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่วัยเด็ก การถูกทำร้ายร่างกาย การถูกล่วง
ละเมิดทางเพศ เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือการเสียสมดุล
ของสารเคมีในสมองได้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวยังต้องได้รับการศึกษาวิจัยต่อไป
- การใช้สารเสพติด จะไปทำให้สารเคมีในสมองเสียสมดุลไปอย่างตรงไปตรงมา
มีโอกาสเป็นบ้าได้หรือไม่ ไม่ค่อยพบว่าคนที่เป็นโรคแพนิคแล้วกลายเป็นโรคจิตเภทในภาย
หลัง แต่จะพบภาวะอื่นๆตามมา เช่น
- ภาวะอะโกราโฟเบีย (Agoraphobia) หรือภาวะกลัวที่จะต้องอยู่ในที่ที่ไม่สามารถได้รับ
ความช่วยเหลือได้เมื่อมี อาการ ทำให้ไม่กล้าอยู่คนเดียว ไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียว
- ภาวะซึมเศร้า หลังจากมีอาการและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ตรวจหลายอย่าง หลาย
โรงพยาบาลก็ไม่พบสาเหตุ โดยที่ผู้ป่วยคิดว่าตัวเองผิดปกติแน่แต่ตรวจไม่พบ จึงเริ่มท้อ
แท้ เบื่อหน่าย บางรายเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็วิตกกังวลว่าจะไม่มีคนช่วยดูแลครอบครัว
ยิ่งทำให้อาการเป็นหนักเข้าไปอีกบางรายถึงขั้นคิดอยากตาย รวมทั้งจะพาครอบครัวตาย
ไปด้วยกันหมดก็มี
รักษาได้อย่างไร
แบ่งเป็น 2 อย่างที่สำคัญ คือ การรักษาด้วยยา และการดูแลทางด้านจิตใจ
การรักษาด้วยยา
การรักษาโรคแพนิคด้วยยาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ
1. ยา“พระเอก” หมายถึงยาที่ใช้เป็นหลักในการรักษา ต้องใช้ต่อเนื่องตามระยะเวลาที่แพทย์
กำหนด เมื่อเราทราบแล้วว่าโรคแพนิค สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเสียสมดุลของสารเคมีในสมอง
โดยเฉพาะสารซีโรโทนินจึงได้มีการคิดค้นยาเพื่อปรับสารเคมีดังกล่าวให้เข้า สู่ภาวะสมดุลซึ่งเป็น
กลุ่มยากลุ่มเดียวกับที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ช้า ผู้ป่วยต้องรับประทานยา
อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์จึงจะเริ่มได้ผล ผลที่ได้คือการเกิดอาการแพนิคจะ
ห่างลงเรื่องๆและอาการแพนิคที่เกิดขึ้นก็จะ เบาลงเรื่อยๆทำให้ผู้ป่วยมีความจำเป็นที่จะต้องรับ
ประทานยา “พระรอง” น้อยลงเรื่อยๆจึงเป็นการค่อยๆหยุดยา “พระรอง” ไปในตัว โดยทั่วไปเมื่อ
เริ่มให้ยา “พระเอก” และค่อยๆเพิ่มยาขึ้นแพทย์มักสามารถควบคุมอาการให้หายสนิทได้ในเวลา
ประมาณ 1-2 เดือนเมื่อผู้ป่วยหายสนิทแล้วต้องให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อไปอีก 8-12 เดือน
แล้วจึงค่อยๆหยุดยา มีผู้ป่วยบางรายที่กลับมีอาการอีกเมื่อลดยาลงถึงระดับหนึ่งในกรณีเช่นนี้ให้
เพิ่มยากลับขึ้นไปในระดับก่อนที่จะมีอาการกลับมาอีก รอไว้ 2-3 เดือนแล้วค่อยๆลดยาลงช้าๆจน
สามารถหยุดยาได้อย่างไรก็ดีควรให้ผู้ป่วยทราบว่า โรคแพนิคเป็นโรคเรื้อรังเมื่อหยุดยาไประยะ
หนึ่งผู้ป่วยอาจกลับมามีอาการอีก ได้ และจะมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่เลิกรับประทานยาไม่ได้และต้อง
รับประทานยา “ป้องกัน” ในขนาดน้อยๆต่อไปเรื่อยๆซึ่งก็ไม่มีอันตรายอะไร
2. ยา“พระรอง” พระรองในที่นี้หมายถึง ยาที่ช่วยบรรเทาอาการเป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็วสามารถระงับ
อาการแพนิคที่เกิด ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วยาประเภทนี้คือยาคลายกังวลยาที่นิยมใช้คือ
alprazolam แต่ก็อาจใช้ lorazepam, clonazepam, หรือแม้แต่ diazepam ก็ได้เราจะให้ผู้
ป่วยรับประทานยาเมื่อเกิดอาการแพนิค อาการแพนิคจะหายไปอย่างรวดเร็วแต่เมื่อยาหมดฤทธิ์ผู้
ป่วยอาจเกิดอาการแพนิค ขึ้นมาได้อีกปัญหาที่สำคัญของยาในกลุ่มนี้คือสามารถเกิดการเสพติด
ได้ถ้าใช้ ติดต่อกันเป็นเวลานานๆนั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้ยากลุ่มนี้เป็นได้แค่พระรอง เพราะจะให้ใน
ช่วงสั้นๆเท่านั้น
การดูแลทางด้านจิตใจ
ผู้ที่เป็นโรคแพนิคทุกคน ต้องการความเข้าใจเป็นอย่างมาก เพราะคนที่ไม่เป็นอย่างเขาจะไม่รู้ว่า
มันทรมานเพียงใด บางคนกลับคิดว่าเป็นการแกล้งทำ ซึ่งยิ่งเป็นการทำร้ายจิตใจผู้ป่วยอย่างมาก
ดังนั้น ทัศนคติของคนรอบข้างทั้งญาติ เพื่อน แม้กระทั่งทีมแพทย์พยาบาลที่ดูแลจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ต้องหนักแน่นในความปลอดภัยของร่างกาย หลังจากการตรวจอย่างละเอียดแล้วไม่พบความผิด
ปกติใด ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเชื่อมั่น อาการแพนิคก็จะค่อยทุเลาลงไป
นึกถึงการปฏิบัติตนเมื่อเกิดอาการโดยมีการเตรียมการไว้ก่อน เช่น การหายใจเข้าออกลึกๆช้าๆ
การหายใจในถุงกระดาษหากมี hyperventilation เป็นอาการเด่น หรือการกินยาที่แพทย์ให้พก
ติดตัวไว้ การฝึกการผ่อนคลายอื่นๆ เช่น การทำสมาธิ งานอดิเรกต่างๆที่ช่วยให้มีความสุข
ท้ายที่สุดนี้ ขอสรุปว่า โรคแพนิคเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ หากมีความเข้าใจกับโรคแพนิค
อย่างถูกต้อง ย่อมนำไปสู่ผลการรักษาที่ดี และไม่เป็นโรคเรื้อรังอีกต่อไปครับ
ข้อมูลจากบทความสุขภาพ วารสารเก้าทันโรค โรงพยาบาลพระรามเก้า
Entry filed under: Health. Tags: การรักษา, จิตใจ, สาเหตุ, สุขภาพ, โรคแพนิค, Health, Panic disorder.
1. manung36 | วันจันทร์ 3 พฤศจิกายน 2008 เวลา 8:31 pm
waduh bingung tulisan apaan nih! 😉
2. Ed Torres | วันอังคาร 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 7:18 am
Hey! Where is the translation?
3. กันขโมย | วันพฤหัสบดี 27 พฤศจิกายน 2008 เวลา 10:22 pm
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ ครับ
4. กันขโมยบ้าน | วันพฤหัสบดี 8 มกราคม 2009 เวลา 3:37 pm
เป็นโรคที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยครับ
ขอบคุณสำหรับข็อมูลฮะ
5. สนับ | วันอังคาร 3 กุมภาพันธ์ 2009 เวลา 2:14 pm
ก่อนอื่นขอให้กำลังใจกับทุกคนที่เป็นอาการของแพนิค อย่ากลัวอย่าท้อ เพราะยิ่งกลัวยิ่งท้อทำให้ยิ่งเป็น
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่มีอาการแพนิคมาห้าปีแล้วคะ หาหมอทานยามาตลอดอย่างต่อเนื่อง ทุกวันเกือบหายดีแล้ว ครั้งแรกที่เป็นตกใจมากเพราะหัวใจเต้นเร็วมาก เมือเท้าเย็น ร้อนแน่นตามลำตัว รีบไปโรงพยาบาลเพื่อให้หมอช่วยชีวิต แต่พอไปถึงหมอๆกลับบอกว่าไม่เป็นอะไร อย่าเครียดก็เท่านั้น ครั้งนั้นก็จบกันไปไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว แต่พอวันที่สองก็มีอาการเหมือนเดิมอีก ก็ตกใจอีกไปหาหมอเหมือนเดิมอีก ก็ผลการตรวจและคำพูดของหมดก็เหมือนเดิมอีก ทีนี้เริ่มทำให้ไม่สบายใจเกิดขึ้น ว่าตัสเราป่วยเป็นอะไรกันแน่ ดิฉันเริ่มไปหาหมอหลายๆคีลนิคหลายๆโรงพยาบาล ก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนทำให้สบายใจได้ ความเครียดจริงเริ่มตามมา จนวันหนึ่งมีหมอที่รูกจักกันบอกว่าเป็นอาการของแพนิค ดิฉันเลยเข้าอินเตอร์เน็ตหาอาการแพนิค เลยพบที่โรงพยาบาลรามาฯเขียนไว้ ทำให้ดิฉันดีใจและเหมือนโรคหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะมีที่รู้ที่รักษาแล้ว หลังจากนั้นดิฉันก็หาหมอและทานยาต่อเนื่องตลอดมา แต่อยากบอกว่ายาที่ทานกว่าจะถูกกับตัวเองได้นั้นลำบากเหมือนกัน เพราะทานยาแล้วอาการข้างเคียงกับยานั้นมากพอควร และการทานยาต้องดูสังเกตุตัวเราเองด้วย ว่ายานั้นมากไปหรือน้อยไป เพราะหากเราทานยาตามหมอสั่งแต่ ทำให้ตัวเราเองยกหัวไม่ขึ้น เกิดอาการงง มากเกินไปก็ควรปรึกษาหมอและลดปริมาณลง หลังจากนั้นก็สังเกตุอาการตัวเองไปเรื่อย เวลาพบหมอก็บอกอาการของเราที่เป็นจริง จะได้รักษาง่ายขึ้น ที่กล่าวมาเพื่ออุทาหรณ์ให้กับเพื่อนมนุษย์ พบหมอเถอะคะหมอจิตเวช ไม่ต้องอาย
6. s | วันพฤหัสบดี 12 กุมภาพันธ์ 2009 เวลา 10:34 pm
ผมเป็นแพนิคมานับสิบปี เป็นๆหายๆ กินยาจนเบื่อ อีกอย่างราคายาค่อยข้างแพง บางครั้งคนรอบข้างไม่ค่อยเข้าใจ ยิ่งทำให้เครียด แตผมไม่เคยหยุดทำงานเลย ว่างงานก็จะเครียด บางครั้งก็รู้สึกเบื่อตัวเองเหมือนกัน จริงๆอยากหาใครสักคนมาคุย หรือเข้าใจเราบ้าง ใครที่เข้าใจก็คุยกับผผมหน่อยนะครับ